ดอกไม้ประจำชาติจาเมกา
เเก้วเจ้าจอม‘Lignum Vitae’
สวัสดีค่ะวันนี้จะพาทุกคนมารู้จักกับดอกไม้ประจำชาติของจาเมกานั้นก็คือดอกแก้วเจ้าจอมไปดูกันเลยค่ะ
‘Lignum Vitae’ มาจากภาษาลาติน ซึ่งแปลว่า “ไม้แห่งชีวิต”
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Guaiacum officinale L.
ชื่อสามัญ Lignum Vitae
ชื่อวงศ์ Zygophyllaceae ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ของ โคกกระสุน
ชื่ออื่นๆ น้ำอบฝรั่ง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Guaiacum officinale L.
ชื่อสามัญ Lignum Vitae
ชื่อวงศ์ Zygophyllaceae ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ของ โคกกระสุน
ชื่ออื่นๆ น้ำอบฝรั่ง
แก้วเจ้าจอม
ได้ถูกจัดลำดับเป็นพันธุ์พืชอนุรักษ์ในบัญชี 2 ภายใต้พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2525 กรมส่งเสริมการเกษตร
แก้วเจ้าจอมเป็นพันธุ์ไม้ใกล้สูญพันธุ์ หายาก เติบโตได้ช้า ได้ถูกจัดเป็นพันธุ์พืชอนุรักษ์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหมู่เกาะอินดีสอินดีสตะวันออก เมื่อปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำต้นพันธุ์มาจากประเทศอินโดนีเซีย และทรงปลูกไว้ที่พระราชอุทยานสวนสุนันทา ชาววังเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า“ ต้นน้ำอบฝรั่ง ” ต่อมาก็ได้ชื่อใหม่ว่า “แก้วจุลจอม” โดยการประทานมาจาก พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราช ปดิวรัดา และต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2501 ศาสตราจารย์เต็ม สมิตินันทน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์ ก็ได้ตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า “แก้วเจ้าจอม” ซึ่งใช้เรียกกันจนมาถึงปัจจุบัน
แก้วเจ้าจอมเป็นพันธุ์ไม้ใกล้สูญพันธุ์ หายาก เติบโตได้ช้า ได้ถูกจัดเป็นพันธุ์พืชอนุรักษ์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหมู่เกาะอินดีสอินดีสตะวันออก เมื่อปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำต้นพันธุ์มาจากประเทศอินโดนีเซีย และทรงปลูกไว้ที่พระราชอุทยานสวนสุนันทา ชาววังเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า“ ต้นน้ำอบฝรั่ง ” ต่อมาก็ได้ชื่อใหม่ว่า “แก้วจุลจอม” โดยการประทานมาจาก พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราช ปดิวรัดา และต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2501 ศาสตราจารย์เต็ม สมิตินันทน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์ ก็ได้ตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า “แก้วเจ้าจอม” ซึ่งใช้เรียกกันจนมาถึงปัจจุบัน
ไม้ดอกสีสวยอย่างแก้วเจ้าจอม เหมาะที่จะปลูกไว้เป็นไม้ประดับ และมีทรงพุ่มทรงกลมสวยงามตามธรรมชาติตลอดทั้งปีโดยที่ไม่ต้องตัดแต่ง เรือนยอดมีลักษณะทึบ เปลือกต้นมีสีเทาเข้ม กิ่งก้านมักเป็นปุ่มปม แก้วเจ้าจอม เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ ลักษณะของลำต้นมักคดงอ มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร เนื้อไม้ภายในมีลักษณะแข็ง
ลักษณะของใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกแบบตรงกันข้าม ใบย่อยรูปรีหรือรูปไข่กลับ มีขนาดเล็ก กว้างประมาณ 1-2.5 ซม. ยาวประมาณ 1.5-2.5 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบมน ขนาดของแต่ละใบอาจไม่เท่ากัน ซึ่งมีทั้งพันธุ์ที่ใบย่อยมี 2 คู่ และ 3 คู่
ดอก เมื่อบานแรกๆ จะมีสีฟ้าอมม่วง ต่อมาจะซีดลงจนกลายเป็นสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลางดอกมีขนาดประมาณ 2-2.5 ซม. กลีบดอกมี 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองประมาณ 8–10 เส้น ดอกมักออกกระจุกเป็นช่อ หรือออกเดี่ยวๆ ตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง มักผลิดอกให้เห็นราวๆ เดือนสิงหาคม-ตุลาคม และ เดือนธันวาคม-เมษายน ปีละ 2 ครั้ง ดอกส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ หลังจากที่ดอกบานแล้วจะมีอายุอยู่ได้นาน 3-5 วัน แล้วจึงร่วงไป
ดอก เมื่อบานแรกๆ จะมีสีฟ้าอมม่วง ต่อมาจะซีดลงจนกลายเป็นสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลางดอกมีขนาดประมาณ 2-2.5 ซม. กลีบดอกมี 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองประมาณ 8–10 เส้น ดอกมักออกกระจุกเป็นช่อ หรือออกเดี่ยวๆ ตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง มักผลิดอกให้เห็นราวๆ เดือนสิงหาคม-ตุลาคม และ เดือนธันวาคม-เมษายน ปีละ 2 ครั้ง ดอกส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ หลังจากที่ดอกบานแล้วจะมีอายุอยู่ได้นาน 3-5 วัน แล้วจึงร่วงไป
ผลมีสีเหลืองหรือสีส้ม มีขนาดประมาณ 1.5 ซม. รูปร่างกลมแบน หรือเป็นรูปหัวใจขนาด 1-2 ซ.ม. เปลือกผลแข็ง ที่ 2 ข้างผลมีลักษณะเป็นครีบ ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม รูปทรงกลมรี หรือรูปไข่ประมาณ 1-2 เมล็ด
การขยายพันธุ์ มักนิยมใช้วิธีการตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ด
แก้วเจ้าจอม เป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นได้ดีในดินแทบทุกสภาพ แต่สำหรับดินที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำได้ดี มีธาตุอาหารครบถ้วน สถานที่ปลูกควรมีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน ควรได้รับการให้น้ำในปริมาณปานกลางอย่างสม่ำเสมอ อุณหภูมิและความชื้นจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผลิดอกของต้นไม้ชนิดนี้ด้วย ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส หรือเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200-1,800 มิลลิเมตร มีฝนตกกระจายหลายๆ เดือน และมีแดดส่องเพียงพอตลอดปี
เนื้อไม้ของแก้วเจ้าจอมจะทนต่อสภาพดินเค็ม แก่นไม้มีสีน้ำตาลอมเขียวไปจนถึงดำ ส่วนของกระพี้ไม้มีลักษณะเป็นมันสีเหลือง และแข็งแรงมาก จึงมักถูกนำมาใช้ทำเป็นของใช้ต่างๆ เช่น ทำสิ่ว ทำกรอบประกับเพลาเรือเดินทะเล ทำรอก ทำลูกโบว์ลิ่ง เป็นต้น
เนื้อไม้ของแก้วเจ้าจอมจะทนต่อสภาพดินเค็ม แก่นไม้มีสีน้ำตาลอมเขียวไปจนถึงดำ ส่วนของกระพี้ไม้มีลักษณะเป็นมันสีเหลือง และแข็งแรงมาก จึงมักถูกนำมาใช้ทำเป็นของใช้ต่างๆ เช่น ทำสิ่ว ทำกรอบประกับเพลาเรือเดินทะเล ทำรอก ทำลูกโบว์ลิ่ง เป็นต้น
ทุกส่วนของลำต้นแก้วเจ้าจอม สามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่นโรครูมาติซัมเรื้อรัง โรคไขข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคเกาต์ ใช้เป็นยาขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ แก้ข้ออักเสบ ใช้เป็นยาระบาย หรือทำเป็นยาอมแก้หลอดลมอักเสบ น้ำคั้นที่ได้จากใบ ใช้กินแก้อาการท้องเฟ้อ หรือจะใช้ดอกแห้งชงเป็นชาดื่มเพื่อบำรุงกำลัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น